ไข้เลือดออกติดต่อผ่านทางพาหะคือยุงหลายสปีชีส์ในจีนัส Aedes โดยเฉพาะ A. aegypti หรือยุงลายบ้าน ไวรัสเด็งกีมีชนิดย่อยอยู่สี่ชนิด การติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งมักทำให้ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสชนิดนั้น ๆ ไปตลอดชีวิต แต่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเด็งกีชนิดอื่น ๆ ในเวลาสั้น ๆ การติดเชื้อไวรัสเด็งกีชนิดอื่นในภายหลังเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนรุนแรง การป้องกันโรคทำโดยลดจำนวนแหล่งเพาะพันธุ์และจำนวนของยุง และป้องกันมิให้ยุงลายกัด เพราะยังไม่มีวัคซีนในทางพาณิชย์
ยังไม่มีวิธีจำเพาะในการรักษาไข้เลือดออก การรักษาหลัก ๆ เป็นการรักษาประคับประคอง สำหรับผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรงรักษาโดยการคืนน้ำ อาจใช้การกินทางปากหรือการให้ทางหลอดเลือดดำ และสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงรักษาโดยให้สารน้ำหรือเลือดหรือองค์ประกอบของเลือดทางหลอดเลือดดำ อุบัติการณ์ของไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นมากตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1960 โดยมีผู้ป่วยติดเชื้อ 50-100 ล้านคนต่อปี โรคนี้มีการอธิบายเอาไว้ครั้งแรกตั้งแต่ ค.ศ. 1779 ส่วนไวรัสที่เป็นสาเหตุและกลไกการติดต่อนั้นค้นพบเมื่อช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ไข้เลือดออกได้กลายเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่งทั่วโลก มีประเทศที่เป็นพื้นที่ระบาดมากกว่า 110 ประเทศ ปัจจุบันนอกจากความพยายามลดจำนวนยุงแล้วยังมีความพยายามพัฒนาวัคซีนและยาที่ออกฤทธิ์โดยตรงกับไวรัสด้วย
อาการและอาการแสดง[แก้]
ผู้ติดเชื้อไวรัสเด็งกีส่วนใหญ่ไม่มีอาการ (80%) หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น เป็นไข้ และไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ[1][2][3] อีกส่วนหนึ่งมีอาการรุนแรงกว่า (5%) และเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาการรุนแรงมากจนเสี่ยงต่อการเสียชีวิต[1][3] ระยะฟักตัวของโรคอยู่ที่ 3-14 วัน แต่ส่วนใหญ่ประมาณ 4-7 วัน[4] ดังนั้นสำหรับคนที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่ระบาด แต่เดินทางกลับมาจากพื้นที่ระบาด และเมื่อเดินทางกลับแล้ว มีไข้ตั้งแต่หลังวันที่ 14 มีโอกาสน้อยมากที่จะเป็นไข้เลือดออกเด็งกี[5] ผู้ป่วยเด็กส่วนใหญ่มีอาการไม่ต่างจากหวัดหรือกระเพาะอาหารกับลำไส้อักเสบ (ท้องร่วงและอาเจียน) [6] แต่มีโอกาสป่วยหนักได้มากกว่าผู้ใหญ่[5] แม้อาการระยะแรกจะค่อนข้างไม่รุนแรง แต่จะมีไข้สูงด้วย[7]
การดำเนินโรค[แก้]
อาการที่เป็นลักษณะเฉพาะของไข้เลือดออกคือมีไข้เฉียบพลัน ปวดศีรษะ (มักปวดหลังดวงตา) ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ และผื่น อาการปวดข้อและปวดกล้ามเนื้อนี้เป็นที่มาของชื่ออีกชื่อหนึ่งของไข้เลือดออก คือ break-bone fever ("ไข้กระดูกแตก") [1][8] การดำเนินโรคแบ่งเป็นสามระยะ คือระยะไข้ ระยะวิกฤต และระยะฟื้น[9]
ในระยะไข้ ผู้ป่วยจะมีไข้สูง มักสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส มีอาการปวดตามตัวและปวดศีรษะ ระยะนี้มักกินเวลา 2-7 วัน[8][9] อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนด้วย[7] ผู้ป่วยระยะไข้ที่มีอาการ 50-80% จะมีผื่นขึ้น[8][10] ในวันแรกหรือวันที่สองของอาการป่วย ลักษณะเป็นปื้นแดง(erythema) หรือพบในวันที่ 4-7 ลักษณะเป็นผื่นคล้ายผื่นของโรคหัด[10][11] อาจมีจุดเลือดออก[9] (จุดเลือดออกนี้เกิดจากเส้นเลือดฝอยแตก และไม่ปรากฏเมื่อผิวหนังถูกกด) หรืออาจมีเลือดออกจากเยื่อบุปากและจมูกได้เล็กน้อย[5][8] ลักษณะเฉพาของอาการไข้ในไข้เลือดออก คือ ผู้ป่วยมีไข้ขึ้นสองรอบ โดยจะมีไข้ขึ้นครั้งหนึ่งก่อน จากนั้นไข้ลดลงไป และมีไข้ขึ้นอีก 1-2 วันให้หลัง แต่แบบแผนอาการไข้ของไข้เลือดออกมีความแตกต่างกันมาก และยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าแบบแผนไข้เฉพาะเช่นนี้ปรากฏขึ้นบ่อยเพียงใด[11][12]
ผู้ป่วยบางคนมีอาการดำเนินไปถึงระยะวิกฤต คือช่วงที่ไข้ลง ระยะนี้มักกินเวลา 1-2 วัน[9] ซึ่งผู้ป่วยอาจมีสารน้ำสะสมในช่องปอดและช่องท้องมากเนื่องจากสารน้ำรั่วออกจากผนังหลอดเลือดฝอยที่อยู่ในภาวะที่มีสภาพให้ซึมผ่านได้สูงขึ้นอย่างมาก ทำให้มีสารน้ำในระบบไหลเวียนน้อยลง และมีการไหลของเลือดไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญน้อยลง[9] ระยะนี้อาจพบอวัยวะทำหน้าที่ผิดปกติ และมีเลือดออกมาก โดยมักออกจากทางเดินอาหาร[5][9] ภาวะช็อก (กลุ่มอาการช็อกจากไข้เลือดออก, dengue shock syndrome) และการมีเลือดออก ("ไข้เลือดออกเด็งกี", dengue hemorrhagic fever) นั้นพบในผู้ป่วยไข้เด็งกีไม่ถึง 5%[5] อย่างไรก็ดีผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสเด็งกีชนิดอื่นมาก่อนแล้ว (ติดเชื้อครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง) จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น[5][13] ระยะวิกฤตนี้พบบ่อยในเด็กและวัยรุ่นมากกว่าวัยอื่น แม้จะพบน้อย[7]
ระยะต่อมาคือระยะฟื้น สารน้ำที่รั่วออกจากหลอดเลือดจะไหลกลับคืนเข้ามา[9] ระยะนี้กินเวลา 2-3 วัน[5] ผู้ป่วยอาจรู้สึกดีขึ้นอย่างมาก อาจมีอาการคันมาก หรือหัวใจเต้นช้าได้[5][9] ในระยะนี้ผู้ป่วยอาจมีสารน้ำในร่างกายเกิน ซึ่งหากเสียสมดุลจนทำให้สมองบวม ก็อาจมีระดับการรู้สึกตัวลดลงหรือมีอาการชักได้[5] ผู้ป่วยผู้ใหญ่อาจรู้สึกล้าต่อไปอีกหลายสัปดาห์[7]
ปัญหาที่พบร่วม[แก้]
บางครั้งไข้เลือดออกอาจส่งผลต่อระบบอื่นของร่างกายได้[9] โดยอาจมีอาการของไข้เลือดออกร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้[6] 0.5-6% ของผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง มีระดับความรู้สึกตัวลดลง ซึ่งอาจเป็นผลโดยตรงจากการติดเชื้อไวรัสที่สมอง ทำให้เกิดสมองอักเสบ หรือเป็นผลโดยอ้อมจากการที่อวัยวะสำคัญทำงานบกพร่อง เช่น ตับ[6][12]
ความผิดปกติอื่นทางระบบประสาทที่มีการรายงานในผู้ป่วยไข้เลือดออก เช่น ไขสันหลังอักเสบตามขวาง และกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร[6] ความผิดปกติอื่นที่พบได้ แต่น้อย เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากการติดเชื้อ และตับวายเฉียบพลัน เป็นต้น[5][9]
สาเหตุ[แก้]
โรคไข้เลือดออก เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากยุงลาย (Aedes aegyti) ตัวเมีย บินไปกัดคนที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกโดยเฉพาะช่วงที่มีไข้สูง ทำให้ได้รับเชื้อไวรัสเด็งกี เชื้อจะเพิ่มจำนวนในตัวยุงประมาณ 8-10 วัน เชื้อไวรัสแดงกี่จะไปที่ผนังกระเพาะและต่อมน้ำลายของยุง เมื่อยุงกัดคนก็จะแพร่เชื้อสู่คน เชื้อจะอยู่ในร่างกายคนประมาณ 2-7 วันในช่วงที่มีไข้ หากยุงกัดคนในช่วงนี้ก็จะรับเชื้อไวรัสมาแพร่ให้กับคนอื่น ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นเด็ก โรคนี้ระบาดในฤดูฝน ยุงลายชอบออกหากินในเวลากลางวันตามบ้านเรือน และโรงเรียน ชอบวางไข่ในน้ำสะอาดที่อยู่นิ่งๆ ตามภาชนะที่มีน้ำขัง เช่น ยางรถยนต์ กะลา กระป๋อง จานรองขาตู้กับข้าว แต่ไม่ชอบวางไข่ในท่อระบายน้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง ฯลฯ
วิทยาไวรัส[แก้]
ไวรัสไข้เด็งกี (Dengue fever virus, DENV) เป็นไวรัสชนิดอาร์เอ็นเอไวรัสในวงศ์ Flaviviridae จีนัส Flavivirus ไวรัสอื่นในแฟมิลีนี้ เช่น ไวรัสไข้เหลืองไวรัสเวสท์ไนล์ ไวรัสไข้สมองอักเสบเซนต์หลุยส์ ไวรัสไข้สมองอักเสบเจอี ไวรัสไข้สมองอักเสบซึ่งมีหมัดเป็นพาหะ ไวรัสโรคป่ายาซานูร์ และไวรัสไข้เลือดออกออมส์ก[12] ส่วนใหญ่ติดต่อโดยมีแมลงหรือแมง (ยุง หรือหมัด เห็บ เป็นต้น) เป็นพาหะ จึงเรียกรวมกันว่า arbovirus มาจาก arthropod-borne virus (ไวรัสซึ่งติดต่อโดยมีสัตว์ขาปล้อง [arthropod] เป็นพาหะ) [12]
จีโนมของไวรัสไข้เด็งกีมีขนาดประมาณ 11,000 นิวคลีโอไทด์เบส ถอดรหัสออกมาเป็นโมเลกุลโปรตีน 3 ชนิด (C, prM และ E) ซึ่งประกอบกันเป็นตัวไวรัส และโมเลกุลโปรตีนชนิดอื่น ๆ อีก 7 ชนิด (NS1, NS2a, NS2b, NS3, NS4a, NS4b, NS5) ซึ่งจะพบเฉพาะในเซลล์โฮสท์ที่ติดเชื้อ โดยเป็นโปรตีนที่มีความจำเป็นในการสร้างไวรัส[13][14] ไวรัส DENV มีอยู่ 4 สายพันธุ์หรือซีโรไทป์ คือ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4[2] เชื่อกันว่าการติดเชื้อไวรัสซีโรไทป์หนึ่ง ๆ จะทำให้มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสซีโรไทป์นั้น ๆ ไปตลอดชีวิต และมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสซีโรไทป์อื่น ๆ ได้ในช่วงสั้น ๆ[2][8]
การติดต่อ[แก้]
ไวรัสเด็งกีติดต่อผ่านทางยุงลายเป็นหลัก โดยเฉพาะยุงลายบ้าน หรือ A. aegypti[2] ซึ่งมีถิ่นอาศัยในเขตศูนย์สูตร บริเวณพื้นที่ละติจูด 35° เหนือและใต้เส้นศูนย์สูตร ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 1,000 เมตร[2] ส่วนใหญ่จะกัดคนในเวลากลางวัน[15] ยุงลายชนิดอื่นๆ ที่เป็นพาหะของไข้เลือดออกได้แก่ A. albopictus, A. polynesiensis และ A.scutellaris[2] โฮสต์หลักของไวรัสไข้เลือดออกคือมนุษย์[2][12] แต่ก็สามารถพบเชื้อในไพรเมตชนิดอื่นนอกจากมนุษย์ได้[16] การกัดเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้ติดเชื้อได้[17] เมื่อยุงตัวเมียดูดเลือดจากผู้ติดเชื้อไข้เลือดออกจะทำให้มีการติดเชื้อในทางเดินอาหารของยุงตัวนั้น ต่อมา 8-10 วัน ไวรัสจะแพร่ไปยังเนื้อเยื่ออื่นๆ ของตัวยุงรวมทั้งต่อมน้ำลายของยุงด้วย ทำให้มีการหลั่งตัวไวรัสออกมาในน้ำลายของยุง ยังไม่ปรากฏว่าการติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกจะมีผลเสียใดๆ ต่อยุงที่ติดเชื้อ ซึ่งจะมีการติดเชื้อไปตลอดอายุขัย ยุงลายบ้านมักวางไข่ในแหล่งน้ำขัง ใกล้ที่อยู่อาศัยของมนุษย์ และมักดูดเลือดจากมนุษย์มากกว่าสัตว์มีกระดูกสันหลังอื่นๆ[18]
ภาวะเสี่ยง[แก้]
ผู้ป่วยที่เป็นทารกหรือเด็กเล็กมีโอกาสป่วยรุนแรงมากกว่าช่วงอายุอื่น และมักพบบ่อยในเด็กที่มีสุขภาพทั่วไปค่อนข้างดี ซึ่งขัดกับโรคติดเชื้อจำนวนมาก[5] ปัจจัยเสี่ยงอื่นที่ทำให้เกิดโรครุนแรง ได้แก่ เป็นเพศหญิง มีดัชนีมวลกายสูง และปริมาณไวรัส แม้ไวรัสทุกชนิดสามารถทำให้เกิดโรคได้ทั้งแบบไม่รุนแรงไปจนถึงรุนแรงมากไม่ต่างกัน[2] แต่สายพันธุ์ไวรัสก็เป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่ง ความเสี่ยงการเป็นโรครุนแรงจากการติดเชื้อครั้งที่สองเพิ่มขึ้นหากผู้ป่วยเคยได้รับซีโรไทป์ DENV-1 แล้วได้รับซีไรโทไทป์ DENV-2 หรือ DENV-3 ภายหลัง หรือหากผู้ป่วยเคยได้รับ DENV-3 แล้วติดเชื้อ DENV-2 ภายหลัง[14] และผู้ที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรังอยู่เดิมแล้ว (เช่น เบาหวาน หรือหอบหืด) มีโอกาสป่วยรุนแรงถึงชีวิตมากกว่า[14]
มีการศึกษาพบความแตกต่างตามปกติ (โพลีมอร์ฟิซึม) ของยีนบางยีนมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มโอกาสการมีอาการป่วยรุนแรงเมื่อป่วยเป็นไข้เลือดออก ตัวอย่างของยีนเหล่านี้ เช่น ยีนที่ถอดรหัสออกมาเป็น TNFα, mannan-binding lectin,[1] CTLA4, TGFβ,[13] DC-SIGN และ HLA บางชนิด[14] ภาวะพร่องเอนไซม์กลูโคส-6-ฟอสเฟตดีไฮโดรจีเนส (ภาวะพร่องเอนไซม์จี-6-พีดี) ก็เพิ่มความเสี่ยง[19] นอกจากนี้ยังพบว่าการมีโพลีมอร์ฟิซึมของยีนที่ถอดรหัสออกมาเป็นตัวรับวิตามินดีและ FcγR อาจสามารถลดโอกาสการป่วยรุนแรงในการติดเชื้อครั้งที่สองได้[14]
กลไก[แก้]
เมื่อยุงที่มีไวรัสเด็งกีกัดมนุษย์ ไวรัสจะเข้าสู่ผิวหนังร่วมกับน้ำลายของยุง ไวรัสจะยึดเกาะและเข้าสู่เม็ดเลือดขาวและสืบพันธุ์อยู่ในเซลล์ขณะที่เม็ดเลือดขาวเคลื่อนไปทั่วร่างกาย เม็ดเลือดขาวจะตอบสนองโดยผลิตโปรตีนส่งสัญญาณหลายชนิด เช่น ไซโตไคน์และอินเตอร์เฟียรอน ซึ่งทำให้เกิดอาการหลายอย่าง เช่น ไข้ อาการคล้ายหวัด และอาการปวดรุนแรง ในการติดเชื้อรุนแรง มีการผลิตไวรัสภายในร่างกายสูงขึ้นมาก และอาจเกิดผลกระทบกับหลายอวัยวะ (เช่น ตับและไขกระดูก) ได้ ของเหลวจากกระแสเลือดซึมผ่านผนังหลอดเลือดขนาดเล็กเข้าสู่ช่องว่างลำตัวเนื่องจากสภาพให้ซึมผ่านได้ของหลอดเลือดฝอย ผลทำให้มีเลือดไหลเวียนอยู่ในหลอดเลือดน้อยลง และความดันเลือดต่ำลงจนไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญเพียงพอ ยิ่งกว่านั้น การทำหน้าที่ผิดปรกติของไขกระดูกเนื่องจากเซลล์พยุงติดเชื้อทำให้เกล็ดเลือดมีน้อยลง ซึ่งเกล็ดเลือดจำเป็นต่อการเกิดลิ่มเลือด จึงเพิ่มความเสี่ยงของอาการเลือดออก อันเป็นภาวะแทรกซ้อนหลักภาวะหนึ่งของไข้เลือดออก[19]
การถ่ายแบบของไวรัส[แก้]
เมื่ออยู่ในผิวหนังแล้ว ไวรัสเด็งกียึดเกาะกับเซลล์แลงเกอร์ฮานส์ (กลุ่มเซลล์เดนไดรต์ในผิวหนังที่เป็นตัวระบุจุลชีพก่อโรค)[19] ไวรัสเข้าสู่เซลล์โดยการยึดเกาะระหว่างโปรตีนไวรัสกับโปรตีนเยื่อหุ้มบนเซลล์แลงเกอร์ฮานส์ โดยเฉพาะ C-type lectin ที่เรียกว่า DC-SIGN ตัวรับแมนโนส และ CLEC5A[13] ดูเหมือนว่า DC-SIGN ซึ่งเป็นตัวรับไม่จำเพาะกับสิ่งแปลกปลอมบนเซลล์เดนไดรต์ เป็นช่องทางเข้าเซลล์หลัก[14] เซลล์เดนไดรต์เคลื่อนไปยังปุ่มน้ำเหลืองที่ใกล้ที่สุด ขณะเดียวกัน มีการแปลรหัสจีโนมไวรัสในเวสิเคิลที่มีเยื่อหุ้มบนเอนโดพลาสมิกเรติคูลัมของเซลล์ จากนั้นมีการผลิตโปรตีนไวรัสใหม่ซึ่งถ่ายแบบอาร์เอ็นเอไวรัสและเริ่มก่อเป็นอนุภาคไวรัส อนุภาคไวรัสที่ยังเจริญไม่เต็มที่ถูกส่งไปยังกอลจิคอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นส่วนของเซลล์ที่โปรตีนบางชนิดได้รับสายน้ำตาลที่จำเป็น (ไกลโคโปรตีน) ไวรัสใหม่ที่เจริญเต็มที่แล้วจะไปดันตัว (bud) บนผิวเซลล์ที่ติดเชื้อและปล่อยออกไปโดยกระบวนการเอกโซไซโทซิส จากนั้น ไวรัสจะสามารถเข้าสู่เม็ดเลือดขาวอื่น ๆ ได้ เช่น โมโนไซต์และแมโครฟาจ[13]
เซลล์ที่ติดเชื้อจะมีปฏิกิริยาระยะแรก คือ สร้างอินเตอร์เฟียรอน ซึ่งเป็นไซโตไคน์ที่เพิ่มการป้องกันการติดเชื้อไวรัสผ่านระบบภูมิคุ้มกันแต่กำเนิดโดยเพิ่มการผลิตโปรตีนกลุ่มใหญ่ที่อาศัย JAK-STAT pathway เป็นสื่อกลาง ไวรัสเด็งกีบางซีโรไทป์อาจมีกลไกชะลอกระบวนการนี้ อินเตอร์เฟียรอนยังกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นภายหลัง ซึ่งนำไปสู่การผลิตแอนติบอดีต่อไวรัส เช่นเดียวกับเซลล์ทีซึ่งจะทำลายเซลล์ทั้งหมดที่ติดเชื้อไวรัสโดยตรง[13] มีการผลิตแอนติบอดีหลายชนิด บางชนิดจับกับโปรตีนไวรัสอย่างแน่นและช่วยในกระบวนการฟาโกไซโทซิส (การกินโดยเซลล์ที่เปลี่ยนไปทำหน้าที่เฉพาะ แล้วย่อยทำลาย) แต่บางชนิดเกาะกับไวรัสไม่แน่นและดูเหมือนจะส่งไวรัสไปยังส่วนของฟาโกไซต์ที่ไวรัสไม่ถูกทำลายแต่สามารถถ่ายแบบได้มากขึ้น[13]
โรครุนแรง[แก้]
ปัจจุบันยังไม่แน่ชัดว่าเหตุใดการติดเชื้อเด็งกีซ้ำต่างสายพันธุ์จึงเพิ่มความเสี่ยงการเกิดไข้เลือดออกเด็งกีหรือภาวะช็อกเด็งกี สมมุติฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับกันมากที่สุด คือ สมมุติฐานการเร่งที่อาศัยแอนติบอดี (antibody-dependent enhancement, ADE) ยังไม่ทราบกลไกของ ADE แน่ชัด อาจเกิดจากแอนติบอดีซึ่งไม่ต่อต้านไวรัส (non-neutralizing antibody) จับเชื้อไวรัสไม่ดี ทำให้หลังจากเชื้อไวรัสถูกเม็ดเลือดขาวจับกินแล้วไม่ถูกส่งไปยังส่วนที่ถูกต้องของเม็ดเลือด ทำให้การย่อยเกิดไม่สมบูรณ์[13][14] มีข้อสงสัยว่า ADE อาจไม่ใช่กลไกเดียวที่เป็นสาเหตุของอาการแทรกซ้อนรุนแรงที่เกี่ยวกับไข้เด็งกี[1] และมีงานวิจัยจำนวนมากที่แสดงนัยบทบาทของเซลล์ทีและปัจจัยอย่างไซโทไคน์และระบบคอมพลิเมนต์[19]
ลักษณะของโรครุนแรง คือ ปัญหาสภาพให้ซึมผ่านของหลอดเลือดฝอย (การยอมให้ของเหลวและโปรตีนซึ่งปกติอยู่ในเลือดผ่านเข้าออกได้) และการเกิดลิ่มเลือดผิดปรกติ[6][7] การเปลี่ยนเปลงเหล่านี้ปรากฏขึ้นสัมพันธ์กับสภาพไกลโคแคลิกซ์ของเนื้อเยื่อบุโพรงผิดปรกติ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเส้นใยโมเลกุลของส่วนประกอบของเลือด[7] คาดกันว่า หลอดเลือดฝอยรั่ว (และระยะวิกฤต) เกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน[7] กระบวนการอื่นที่สนใจรวมถึง เซลล์ที่ติดเชื้อซึ่งมีการตายเฉพาะส่วน ซึ่งกระทบต่อทั้งการที่เลือดจับตัวเป็นลิ่มและการสลายไฟบริน (ระบบการเกิดลิ่มเลือดและการสลายลิ่มเลือดที่ตรงข้ามกัน) และภาวะเกล็ดเลือดต่ำในเลือด ที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การเกิดลิ่มเลือดเป็นปกติ[19]
การวินิจฉัย[แก้]
อาการเตือน[20]
|
||||
ปวดท้อง | ||||
อาเจียนมาก | ||||
ตับโต | ||||
เลือดออกในเยื่อบุ | ||||
ความเข้มข้นเม็ดเลือดแดงสูง เกล็ดเลือดต่ำ | ||||
อ่อนเปลี้ย |
การให้การวินิจฉัยไข้เลือดออกส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในพื้นที่ระบาด เช่น ประเทศไทย เป็นการวินิจฉัยทางคลินิก อาศัยอาการและผลการตรวจร่างกาย[1] อย่างไรก็ดีอาการระยะแรกของไข้เลือดออกแยกจากการติดเชื้อไวรัสอื่นได้ยาก[5] สำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่ระบาด อาการที่น่าสงสัยว่าอาจจะเป็นไข้เลือดออกคืออาการไข้ร่วมกับอาการสองอย่างจากอาการต่าง ๆ ต่อไปนี้ คลื่นไส้อาเจียน ผื่น ปวดตามตัว เม็ดเลือดขาวต่ำ การทดสอบทูนิเกต์ผลบวก หรืออาการเตือนใด ๆ ตามตาราง[20] ซึ่งอาการเตือนเหล่านี้มักปรากฏก่อนโรคดำเนินไปเป็นไข้เลือดออกรุนแรง[9] การทดสอบทูนิเกต์เป็นการตรวจที่มีประโยชน์มากในพื้นที่ที่ไม่สามารถส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการได้ทันที ทำโดยใช้เครื่องวัดความดันโลหิตพันรอบแขนและรัดไว้ให้ความดันโลหิตอยู่ระหว่างความดันช่วงหัวใจบีบและความดันช่วงหัวใจคลาย ห้านาที จากนั้นนับจุดเลือดออกที่ปรากฏขึ้น ยิ่งมีจุดมากก็ยิ่งมีความน่าจะเป็นของการเป็นไข้เลือดออกมาก[9]
ควรวินิจฉัยทุกคนที่มีไข้ในสองสัปดาห์หลังเดินทางไปในเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อน[7] โรคไข้เด็งกีแยกจากไข้ชิคุนกุนยาได้ยาก ซึ่งโรคนี้เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่มีอาการคล้ายกันและยังระบาดในหลายพื้นที่ซึ่งโรคไข้เลือดออกระบาดด้วย[8] บ่อยครั้งต้องใช้การตรวจอื่น ๆ เพื่อแยกโรคที่ทำให้เกิดอาการคล้ายกัน เช่น มาลาเรีย ฉี่หนู ไข้รากสาดน้อย ไข้กาฬหลังแอ่น โรคหัดและไข้หวัดใหญ่[5]
ความผิดปกติที่พบได้เร็วที่สุดจากการตรวจทางห้องปฏิบัติการคือการพบเม็ดเลือดขาวต่ำ ซึ่งต่อมาอาจพบมีเกล็ดเลือดต่ำและเลือดเป็นกรดเหตุเมตาบอลิกได้[5] ระดับอะมิโนทรานสเฟอร์เรส (AST และ ALT) จากตับที่สูงขึ้นพอสมควรมักสัมพันธ์กับเกล็ดเลือดและเม็ดเลือดขาวต่ำ[7] ในกรณีที่มีอาการรุนแรง การรั่วของพลาสมาจะทำให้ตรวจพบเลือดมีความเข้มข้นสูง (พบฮีมาโตคริตสูง) และอัลบูมินในเลือดต่ำ[5] ภาวะมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดและท้องมานอาจพบได้จากการตรวจร่างกายหากเป็นมาก ๆ[5] แต่อาจตรวจพบได้เร็วขึ้น จากการใช้การตรวจอื่น ๆ เช่น การตรวจด้วยคลื่นอัลตราซาวนด์ ซึ่งช่วยให้สามารถตรวจพบผู้ป่วยที่จะกลายเป็นกลุ่มอาการช็อคจากไข้เลือดออกได้เร็วขึ้นในระยะแรก[1][5] แต่ยังมียังข้อจำกัดเนื่องจากจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ราคาแพง ซึ่งไม่ได้มีในสถานพยาบาลทุกๆ ที่[1] กลุ่มอาการช็อคเด็งกียังพบได้หากความดันชีพจรลดลง ≤ 20 มม. ปรอท ร่วมกับระบบไหลเวียนโลหิตส่วนปลายล้มเหลว[7] ระบบไหลเวียนโลหิตส่วนปลายล้มเหลวในเด็กสังเกตจากมีการเติมเต็มเลือดกลับเข้าเส้นเลือดฝอย (capillary refill) นาน หัวใจเต้นเร็ว หรือมือเท้าเย็น[9]
การจำแนกประเภท[แก้]
ระบบการจำแนกประเภทไข้เลือดออกเด็งกีขององค์การอนามัยโลกฉบับ พ.ศ. 2552 จำแนกไข้เลือดออกเด็งกีเอาไว้เป็นสองประเภท คือชนิดไม่มีภาวะแทรกซ้อนและชนิดรุนแรง[1][20] โดยใช้แทนระบบจำแนกประเภทฉบับ พ.ศ. 2550 ซึ่งมีรายละเอียดมากกว่า เนื่องจากต้องการให้การจำแนกประเภทมีความเข้าใจง่าย อย่างไรก็ดีระบบจำแนกประเภทแบบเดิมก็ยังคงมีผู้ใช้อยู่อย่างกว้างขวาง[20] โดยระบบ พ.ศ 2550 นี้ได้จำแนกประเภทของไข้เลือดออกเด็งกีเอาไว้เป็น ไข้ซึ่งจำแนกประเภทไม่ได้ (undifferentiated fever), ไข้เด็งกี (dengue fever) และไข้เลือดออกเด็งกี (dengue hemorrhagic fever) [5][21] โดยสำหรับประเภทไข้เลือดออกเด็งกีเองก็แบ่งออกเป็นระดับ (grade) 1-4 โดยระดับ 1 ผู้ป่วยจะมีไข้และมีอาการเบื้องต้นของ "เลือดออก" ได้แก่มีจ้ำเลือดตามตัวง่ายหรือทูนิเกต์เทสท์ให้ผลบวก, ระดับ 2 จะมีเลือดออกเองจากผิวหนังหรือที่อื่น, ระดับ 3 มีอาการช็อค และระดับ 4 ช็อครุนแรงจนไม่สามารถวัดความดันโลหิตและชีพจรได้[21] ไข้เลือดออกเด็งกีระดับ 3 และ 4 เรียกรวมว่า "กลุ่มอาการช็อคจากเด็งกี" (dengue shock syndrome) [20][21]
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ[แก้]
อาจสามารถวินิจฉัยไข้เลือดออกได้ด้วยการตรวจทางจุลชีววิทยาหรือการตรวจหาเชื้อก่อโรค[20] ซึ่งอาจทำได้โดยการแยกเชื้อไวรัสด้วยการเพาะเลี้ยงเซลล์ การตรวจหาสารพันธุกรรมด้วยปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรส การทางวิทยาเซรุ่มเพื่อตรวจหาแอนติเจนของไวรัสด้วยปฏิกิริยาการจับกับแอนติบอดี[14][22] โดยการแยกเชื้อไวรัสและการตรวจหาสารพันธุกรรมเป็นการตรวจที่ให้ผลแม่นยำกว่าการตรวจหาแอนติบอดี แต่การตรวจเหล่านี้ยังไม่มีการใช้แพร่หลายเนื่องจากยังมีราคาสูงมาก[22] และยังอาจให้ผลลบ (ตรวจไม่พบ) ได้ในผู้ป่วยระยะแรก[5][14]
การตรวจเหล่านี้จะมีคุณค่าช่วยในการวินิจฉัยก็ต่อเมื่อทำในการป่วยระยะเฉียบพลัน ยกเว้นการตรวจทางวิทยาเซรุ่ม การตรวจหาแอนติบอดี IgG และ IgM ที่จำเพาะต่อชนิดของไวรัสให้ประโยชน์เป็นการยืนยันการวินิจฉัยในระยะท้ายๆ ของการดำเนินโรค ร่างกายจะเริ่มผลิต IgG และ IgM หลังจากติดเชื้อไปแล้ว 5-7 วัน ระดับ IgM จะตรวจพบได้สูงสุดหลังการติดเชื้อครั้งแรก แต่ในการติดเชื้อครั้งที่สองหรือสามก็ยังมีการผลิต IgM อยู่เช่นกันแม้จะไม่มากเท่า หลังการติดเชื้อครั้งแรก 30-90 วัน ระดับ IgM จะลดลงจนไม่สามารถตรวจพบได้ โดยในการติดเชื้อที่ไม่ใช่ครั้งแรก ระดับ IgM จะลงลงเร็วกว่านี้ ในทางกลับกัน IgG จะยังคงอยู่ให้ตรวจพบได้นานกว่า 60 ปี แม้จะไม่มีอาการเลยก็ตาม จึงมีประโยชน์ในการตรวจว่าเคยติดเชื้อมาก่อนหรือไม่ เมื่อมีการติดเชื้อครั้งแรก ระดับ IgG จะเพิ่มขึ้นจนถึงระดับสูงสุดที่ 14-21 วัน และในการติดเชื้อครั้งต่อๆ มา ระดับจะขึ้นสูงเร็วกว่าและสูงมากกว่า ทั้ง IgG และ IgM เป็นสารภูมิคุ้มกันที่มีผลป้องกันการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ (ซีโรไทป์) นั้นๆ การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อหาระดับ IgG และ IgG นั้นอาจมีการแสดงปฏิกิริยาข้ามกันระหว่างไวรัสอื่นๆ ในกลุ่มฟลาวิไวริดีได้ เช่น ไวรัสไข้เหลือง ทำให้การแปลผลการตรวจมีความซับซ้อนและยากมากขึ้น[8][14][23]การตรวจหาระดับ IgG เพียงอย่างเดียวนั้นจะใช้เป็นเกณฑ์การวินิจฉัยไข้เลือดอองเด็งกีได้ก็ต่อเมื่อเก็บห่างกัน 14 วัน และพบว่ามีระดับเพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เท่าเท่านั้น ส่วนการตรวจ IgM ในผู้ป่วยที่มีอาการนั้น สามารถใช้ในการวินิจฉัยได้[23]
การรักษา[แก้]
ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสจำเพาะต่อไข้เด็งกี สิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักษาคือการรักษาสมดุลสารน้ำเอาไว้[7] การรักษาที่ให้จะขึ้นอยู่กับอาการ ซึ่งมีตั้งแต่การให้กินสารน้ำร่วมกับการติดตามใกล้ชิดโดยไม่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล ไปจนถึงการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโดยมีการให้ของเหลวทางหลอดเลือดดำ และ/หรือ การถ่ายเลือด[24] ข้อพิจารณาในการรับเข้ารักษาในโรงพยาบาลโดยทั่วไปจะดูจากการมีอาการเตือนดังที่แสดงไว้ข้างต้น โดยเฉพาะผู้มีโรคประจำตัว[5]
ผู้ป่วยมักมีความจำเป็นต้องได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำอยู่ไม่เกิน 1-2 วัน[24] อัตราจะค่อย ๆ ถูกปรับให้เหมาะสมเพื่อให้มีปัสสาวะออกประมาณ 0.5-1 มล./กก./ชั่วโมง สัญญาณชีพคงที่ และฮีมาโตคริตคงที่[5] งดเว้นหัตถการทางการแพทย์แบบล่วงล้ำ (invasive medical procedure) (เช่น การใส่สายจมูกถึงกระเพาะอาหาร การฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ และการเจาะเลือดจากหลอดเลือดแดง) เว้นแต่จำเป็น ด้วยมีความเสี่ยงเลือดออก[5] ใช้ยาพาราเซตามอล (อะเซตามิโนเฟน) เพื่อลดไข้ แก้ปวด และหลีกเลี่ยงยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตอรอยด์ เช่น ไอบูโปรเฟนและแอสไพริน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงการมีเลือดออกได้[24] ผู้ป่วยบางรายที่มีสัญญาณชีพไม่คงที่และฮีมาโตคริตลดลงเท่านั้นที่จะได้รับการให้เลือดหรือส่วนประกอบของเลือด โดยไม่ต้องเฝ้าดูระดับฮีมาโตคริตลดลงจนถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า[25] ในกรณีที่ต้องได้รับเลือดหรือส่วนประกอบของเลือดแนะนำให้ใช้เม็ดเลือดแดงเข้มข้น (เลือดที่ปั่นแยกส่วนประกอบของเลือดและคัดมาเฉพาะเม็ดเลือดแดง) หรือเลือดเต็ม (เลือดที่ไม่ได้ปั่นแยกส่วนประกอบของเลือด) ส่วนใหญ่ไม่มีความจำเป็นในการให้เกล็ดเลือดหรือพลาสมาสดแช่แข็ง[25]
เมื่อถึงระยะฟื้นตัวแพทย์จะหยุดให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำเพื่อป้องกันภาวะสารน้ำเกิน[5] ถ้าเกิดมีภาวะสารน้ำเกินขึ้นโดยที่อาการและสัญญาณชีพอื่น ๆ ปกติ การหยุดสารน้ำเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอโดยไม่ต้องให้ยาขับสารน้ำออก[25] ทั้งนี้แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาขับปัสสาวะ เช่น ฟูโรซีไมด์ เพื่อกำจัดของเหลวส่วนเกินออกได้ หากไม่ได้อยู่ในระยะวิกฤต[25]
การป้องกัน[แก้]
ยังไม่มีวัคซีนที่ป้องกันไวรัสไข้เลือดออกเด็งกีอย่างได้ผล[1] ดังนั้นการป้องกันโรคจึงต้องอาศัยการควบคุมการแพร่พันธุ์ยุงลายและป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด[15][26] องค์การอนามัยโลกได้แนะนำโครงการควบคุมพาหะแบบบูรณาการเอาไว้ โดยมีองค์ประกอบ 5 อย่าง ได้แก่ 1) ต้องมีการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนเพื่อให้ระบบบริการสุขภาพและชุมชนมีความเข้มแข็ง 2) มีความร่วมมือระหว่างองค์กรสุขภาพและภาคส่วนอื่น ๆ 3) ส่งเสริมให้มีการควบคุมโรคอย่างบูรณาการโดยใช้ทรัพยากรที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด 4) มีการตัดสินใจโดยอิงหลักฐานเพื่อให้มีการออกมาตรการที่เหมาะสม และ 5) มีการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์การระบาดในแต่ละที่อยู่เสมอ[15]
วิธีการในการควบคุมการแพร่ระบาดของยุงลายคือการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย[15] ทำโดยป้องกันไม่ให้มีน้ำขังในภาชนะ เช่น คว่ำขัน กะละมัง ที่อยู่นอกบ้าน ไม่ให้มีน้ำขัง ใส่สารฆ่าแมลงหรือสารควบคุมการเจริญเติบโตของยุงลาย เช่น ทรายอะเบต ในพื้นที่[15] อย่างไรก็ดีเชื่อกันว่าการพ่นยาฆ่าแมลงเป็นครั้ง ๆ ไปนั้นได้ผลไม่คุ้มค่า[3] เมื่อพิจารณาว่าการใส่สารฆ่าแมลงลงในพื้นที่นั้นมีผลเสียมากกว่าที่จะรับได้ และการให้สารควบคุมการเจริญเติบโตของยุงลายนั้นเป็นการยากที่จะทำได้ทั่วถึง การลดปริมาณแหล่งน้ำขังด้วยการควบคุมภาชนะนอกบ้านจึงเป็นวิธีที่เป็นที่นิยมและได้รับการยอมรับมากที่สุด[15] นอกจากนี้ยังอาจสามารถป้องกันไม่ให้ยุงลายกัดได้โดยใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด นอนกางมุ้ง หรือใช้สารขับไล่แมลง เป็นต้น โดยสารที่ได้ผลดีที่สุด คือ DEET[17]
สำหรับในประเทศไทย ศูนย์ควบคุมโรคไข้เลือดออก กองควบคุมโรค สำนักอนามัย แนะนำแนวทางในการป้องกันโรคไข้เลือดออกโดยเน้นการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย และการป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด[27] ซึ่งเป็นไปตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก
วิทยาการระบาด[แก้]
บุคคลส่วนใหญ่ที่ป่วยเป็นไข้เด็งกีฟื้นตัวโดยไม่มีปัญหาต่อเนื่อง[20] อัตราตายอยู่ที่ 1–5% โดยปราศจากการรักษา[5] และน้อยกว่า 1% โดยได้รับการรักษาอย่างเพียงพอ[20] อย่างไรก็ดี โรครุนแรงมีอัตราตายที่ 26%[5] ไข้เด็งกีเป็นโรคประจำถิ่นในกว่า 110 ประเทศ[5] มีผู้ติดเชื้อทั่วโลก 50 ถึง 100 ล้านคนต่อปี ทำให้ต้องเข้าโรงพยาบาลห้าแสนครั้ง[1] และมีผู้เสียชีวิตประมาณ 12,500–25,000 คน[6][28]
ไข้เด็งกีเป็นโรคไวรัสที่ส่งต่อผ่านสัตว์ขาปล้องที่พบมากที่สุด[13] มีการประเมินภาระโรคเอาไว้ที่ 1,600 ปีสุขภาวะที่สูญเสียไปจากโรคและการบาดเจ็บของประชากร (DALY, disability-adjusted life year) ต่อประชากรหนึ่งล้านคน ซึ่งคล้ายกันกับวัณโรค[14] ด้วยความเป็นโรคเขตร้อน ไข้เด็งกีจึงดูมีความสำคัญเป็นรองมาลาเรีย[5] แต่องค์การอนามัยโลกจะนับไข้เด็งกีเป็นหนึ่งในสิบหกโรคเขตร้อนที่ถูกละเลย[29]
อุบัติการณ์ของไข้เด็งกีเพิ่มขึ้น 30 เท่า ระหว่าง ค.ศ. 1960 และ 2010[30] ซึ่งการเพิ่มขึ้นนี้เชื่อว่าเป็นผลของการมีลักษณะแบบเมือง การเติบโตของประชากร การท่องเที่ยวระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น และปรากฏการณ์โลกร้อนประกอบกัน[1] การกระจายทางภูมิศาสตร์อยู่รอบเส้นศูนย์สูตร โดย 70% ของประชากรรวม 2,500 ล้านคนอาศัยอยู่ในพื้นที่ระบาดจากทวีปเอเชียและมหาสมุทรแปซิฟิก[30] ในสหรัฐอเมริกา อัตราการติดเชื้อเด็งกีในผู้ที่เดินทางกลับจากพื้นที่ระบาดพร้อมกับไข้เด็งกีอยู่ที่ 2.9–8.0%[17] และเป็นการติดเชื้อที่พบมากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากมาลาเรียที่ได้รับวินิจฉัยในกลุ่มนี้[8]
ไวรัสเด็งกีถูกรักษาอยู่ในธรรมชาติในวัฏจักรที่เกี่ยวข้องกับพาหะดูดเลือดที่ไวรัสชอบไปอยู่และโฮสต์สัตว์มีกระดูกสันหลัง เช่นเดียวกับอาร์โบไวรัสส่วนใหญ่[31] ไวรัสถูกรักษาในป่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกาโดยการส่งผ่านจากยุง Aedes เพศเมีย นอกเหนือจากสปีชีส์ A. aegypti ไปยังลูกและไพรเมตชั้นต่ำกว่า[31] ในเมืองและนคร ไวรัสส่งผ่านโดย A. aegypti เป็นหลัก ซึ่งมักอยู่ในบ้าน ในชนบท ไวรัสส่งผ่านสู่มนุษย์โดย A. aegypti และ Aedes สปีชีส์อื่น เช่น A. albopictus[31] ทั้งสองสปีชีส์มีเขตที่อยู่อาศัยขยายขึ้นในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20[7] แต่ในทุกที่ ไพรเมตชั้นต่ำกว่าหรือมนุษย์ที่ติดเชื้อเพิ่มจำนวนไวรัสเด็งกีหมุนเวียนในกระบวนการที่เรียกว่า amplification[31] การติดเชื้อได้รับมาในสิ่งแวดล้อมเมืองมากที่สุด[32] ในทศวรรษหลัง การขยายหมู่บ้าน เมืองและนครในพื้นที่ระบาด และอัตราตายของประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น เพิ่มจำนวนโรคระบาดและไวรัสหมุนเวียน ไข้เด็งกี ซึ่งครั้งหนึ่งเคยจำกัดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันแพร่ไปถึงจีนตอนใต้ ประเทศในมหาสมุทรแปซิฟิกและทวีปอเมริกาแล้ว[32] และอาจคุกคามยุโรป[3]
ประวัติศาสตร์[แก้]
บันทึกแรกของผู้ป่วยที่อาจป่วยเป็นโรคไข้เด็งกีปรากฏในสารานุกรมการแพทย์จีนจากราชวงศ์จิ้น (ค.ศ. 265–420) ซึ่งอ้างถึง "พิษน้ำ" ที่เกี่ยวข้องกับแมลงบิน[33][34] พาหะหลัก A. aegypti แพร่กระจายออกจากแอฟริกาในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึง 19 บางส่วนเนื่องจากโลกาภิวัฒน์เพิ่มขึ้น รองต่อการค้าทาส[7] มีคำอธิบายโรคระบาดในคริสต์ศตวรษที่ 17 แต่รายงานการระบาดของเด็งกียุคแรกที่น่าเชื่อถือที่สุดมาจาก ค.ศ. 1779 และ 1780 เมื่อโรคระบาดได้กวาดทั่วเอเชีย แอฟริกาและอเมริกาเหนือ[34] นับแต่นั้นจนถึง ค.ศ. 1940 เกิดโรคระบาดเด็งกีไม่บ่อยนัก[34]
ใน ค.ศ. 1906 มีการยืนยันการส่งผ่านโดยยุง Aedes และใน ค.ศ. 1907 เด็งกีเป็นโรคลำดับที่สองที่ถูกแสดงว่าเกิดจากไวรัส ถัดจากไข้เหลือง[35] การสืบส่วนเพิ่มเติมโดยจอห์น เคลแลนด์และโจเซฟ แฟรงกลิน ซีเลอร์ทำให้ความเข้าใจการส่งผ่านเด็งกีเบื้องต้นสมบูรณ์[35]
การรบกวนระบบนิเวศคาดว่าเป็นสาเหตุของไข้เด็งกีระบาดชัดเจนระหว่างและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง กระแสเดียวกันนี้ยังนำไปสู่การระบาดของไข้เด็งกีเซโรไปต์ต่าง ๆ ไปยังพื้นที่ใหม่ และกำเนิดไข้เลือดออกเด็งกี รูปแบบรุนแรงของโรคเด็งกีมีรายงานครั้งแรกในประเทศฟิลิปปินส์ใน ค.ศ. 1953 จนถึงคริสต์ทศวรรษ 1970 ไข้เด็งกีเป็นสาเหตุหลักของการตายในเด็กและกำเนิดขึ้นในแปซิฟิกและทวีปอเมริกา[34] ไข้เลือดออกเด็งกีและกลุ่มอาการไข้เลือดออกช็อกมีการสังเกตครั้งแรกในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ใน ค.ศ. 1981 เมื่อ DENV-2 สัมผัสผู้ที่เคยได้รับเชื้อ DENV-1 เมื่อหลายปีก่อน[12]
การวิจัย[แก้]
ความพยายามวิจัยเพื่อป้องกันและรักษาไข้เด็งกี รวมถึงการใช้หลายวิธีในการควบคุมตัวนำโรค[36] การพัฒนาวัคซีน และยาต้านไวรัส[26]
สำหรับการควบคุมตัวนำโรค มีการใช้วิธีการใหม่ ๆ จำนวนหนึ่งเพื่อลดจำนวนยุงโดยประสบความสำเร็จอยู่บ้าง รวมถึงการปล่อยปลาหางนกยูงในแหล่งน้ำนิ่งเพื่อกินลูกน้ำยุงลาย[36] ปัจจุบันกำลังมีความพยายามทำให้ประชากรยุงติดเชื้อแบคทีเรียในสกุล Wolbachia ซึ่งทำให้ยุงมีภูมิคุ้มกันบางส่วนต่อไวรัสเด็งกี[7] นอกจากนี้ ยังมีการทดสอบ A. aegypti เพศผู้ ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม ซึ่งหลังจากปล่อยให้ผสมพันธุ์กับยุงเพศเมียแล้ว ลูกหลานของมันจะมีชีวิตอยู่ผ่านขั้นลูกน้ำแต่ตายในระยะดักแด้ ก่อนจะโตเต็มวัยพร้อมสืบพันธุ์[37]
ขณะนี้กำลังมีโครงการพัฒนาวัคซีนไข้เด็งกีให้ครอบคลุมทั้งสี่เซโรไทป์[26] ความกังวลหนึ่ง คือ วัคซีนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรครุนแรงผ่าน antibody-dependent enhancement (ADE)[38] วัคซีนในอุดมคตินั้นจะต้องปลอดภัย มีผลหลังการฉีดหนึ่งหรือสองครั้ง ครอบคลุมทุกเซโรไทป์ ไม่ส่งผลต่อ ADE ขนส่งและเก็บรักษาง่าย และทั้งสามารถจ่ายได้และคุ้มทุน[38] จนถึงปี 2012 วัคซีนจำนวนหนึ่งกำลังอยู่ระหว่างการทดสอบ[39][38] วัคซีนที่พัฒนามากที่สุดอาศัยไวรัสไข้เหลืองและไวรัสเด็งกีสี่เซโรไทป์ที่ถูกทำให้อ่อนกำลังลงรวมกัน[39][40] หวังกันว่า ผลิตภัณฑ์ชุดแรกจะพร้อมวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในปี 2015[26]
นอกจากความพยายามควบคุมการแพร่ของยุง Aedes และการทำงานเพื่อพัฒนาวัคซีนต่อต้านไข้เด็งกีแล้ว ขณะนี้ยังมีความพยายามที่จะพัฒนายาต้านไวรัส ที่จะใช้เพื่อรักษาการป่วยเป็นไข้เด็งกีและป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรง[41][42] การค้นพบโครงสร้างโปรตีนของไวรัสอาจช่วยในการพัฒนายาที่มีประสิทธิภาพ[42] มีหลายเป้าหมายที่เป็นไปได้ แนวทางแรก คือ การยับยั้ง RNA-dependent RNA polymerase ของไวรัส ซึ่งคัดลอกสารพันธุกรรมของไวรัสด้วยนิวคลีโอไซด์แอนาล็อก แนวทางที่สอง เป็นไปได้ที่จะพัฒนาตัวยับยั้งเฉพาะของเอนไซม์โปรตีเอสของไวรัส ซึ่งจะผูกโปรตีนของไวรัสติดกัน[43] แนวทางสุดท้าย เป็นไปได้ที่จะพัฒนาตัวยับยั้งชนิดยับยั้งการนำเข้า (entry inhibitor) ซึ่งจะไปหยุดไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ หรือยับยั้งกระบวนการ 5′ capping ที่จำเป็นต้องการถ่ายแบบของไวรัส[41]
ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/